ยิ่งช่วยมาก อาจยิ่งทำร้ายเด็ก


ตามธรรมชาติของเด็ก เขาต้องการทำอะไรด้วยตนเอง
หากผ่านช่วงเวลา “ลูกอยาก” ทำเองไปแล้ว
มาเคี่ยวเข็ญให้ทำตอนที่ “เราอยาก” ให้เด็กทำ
อาจเกิดปัญหาและบั่นทอนความสัมพันธ์ระหว่างกัน

เมื่อลูกอยากทำ ก็ต้องให้โอกาสและเวลา
ความยุ่งยากของงานตรงหน้า
อาจทำให้เด็กหลายคนหงุดหงิด
หรือบางคนทำไปเล่นไปไม่เสร็จซะที

เราควรสอนให้ทำทีละขั้นตอนอย่างใจเย็น...
เด็กไม่ได้ทำเป็นด้วยการลงมือครั้งแรก
และเราก็ไม่ควรตัดบทเอาเร็ว เอาง่ายตลอดเวลา
ชีวิตคนเป็นพ่อแม่ควรมีช่วงไม่เร่งรีบหากต้องสอนเด็ก

ปัญหาโลกแตกอีกอย่างของยุคปัจจุบัน
คือ การมีพี่เลี้ยงช่วยดูแลเด็ก
หากเราไม่ตระหนักให้ดีถึงงานที่พี่เลี้ยงควรช่วย
ลูกเราอาจมีปัญหามากกว่าที่คิด

เด็กไม่ช่วยเหลือตนเองเพราะมีพี่เลี้ยงช่วย
นั่นก็ปัญหาหนึ่ง....แต่อีกปัญหาที่แย่กว่าคือความก้าวร้าว
เด็กบางคนก้าวร้าวกับพี่เลี้ยงมากกว่าคนอื่นในบ้าน
ทั้งไล่ ทั้งตี ทั้งต่อว่าโวยวายใส่
ราวกับว่าเป็นผู้รับใช้ ดูแล้งน้ำใจ
เพาะบ่มความกระด้างให้กับตัวเด็กเอง

การให้โอกาสเด็กได้ฝึกช่วยเหลือตนเอง
ถอดถุงเท้า ใส่รองเท้า หยิบจาน หยิบช้อนมา
พยายามถอดกางเกง พยายามใส่เสื้อฯลฯ
งานเหล่านี้ล้วนสร้างความภูมิใจ

อย่าตัดโอกาส อย่าทำให้เด็กไม่อดทน
อย่าทำให้เด็กไม่สนใจว่านี่เป็นงานของตนเอง

เมื่อเด็กได้คลุกคลีกับงานของตนเอง
ก็อย่าลืมชวนมาช่วยงานบ้าน เล็กน้อยๆตามวัย
ปลอกไข่ รดน้ำต้นไม้ เก็บใบไม้ลงถัง
เอาผ้าเข้าเครื่องซักผ้าและเอาผ้าออกฯลฯ
ทำเป็นเรื่องเป็นราว ไม่ใช่เล่นสนุกอย่างเดียว

เราจะพบว่าเด็กมีความอดทนมากขึ้น ไม่รักแต่สบาย
เด็กรู้จักควบคุมกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็กดีขึ้น
และที่สำคัญ เด็กรับรู้ได้ชัดเจนว่า
เขาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกในบ้าน
ไม่ใช่แค่เด็กเล็กๆ ที่ทำอะไรในบ้านไม่เป็น

ที่มา : หมอเสาวภา

ความคิดเห็น